วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

เรื่องที่ 19.ผีแมว

เมื่อดึกมากแล้ว พวกเราก็ขอตัวไปนอน แต่คืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าวมาก น้องชายกับลูกน้า ก็หนีไปนอนที่ศาลาที่ปลายสะพานกลางทะเล (ที่หมู่บ้านจะมีสะพานไม้ยาวประมาณ 50 เมตร ยื่นออกไปในทะเล และจะมีศาลาที่ปลายสะพาน) ข้าพเจ้าทนนอนร้อนอยู่บนบ้านไม่ไหวก็หอบเต็นท์เดินไปที่ศาลากลางทะเล ขณะเดินไปก็ได้พบกับชาวบ้านท่านหนึ่งบอกกับข้าพเจ้าว่า ที่ศาลานั้น คนในหมู่บ้านไม่กล้าไปนอนกัน เพราะเคยไปนอนแล้วพบกับเหตุการณ์แปลกๆ คือมีแสงสว่างพุ่งมาจากทะเลใต้ศาลา จนทุกคนที่ไปนอนต้องเพ่นกลับไปนอนที่บ้านกันหมด ข้าพเจ้ากลัวเสียฟอร์มที่หอบเต็นท์จะไปนอน จะหอบเต็นท์กลับก็กะไรอยู่ จึงตัดสินใจฝ่าความมืดเดินไปตามสะพาน เพื่อกลางเต็นท์นอน แต่ก็ไม่มีที่ที่จะให้กลางเต็นท์ในศาลา เพราะสองคนนั้นมากางเต็นท์นอนหลับไปแล้ว ได้ยินเสียงกรนนอนหลับกันสบาย ข้าพเจ้าจึงต้องกางเต็นท์นอนบนสะพานทางเดินนอกศาลาเพียงคนเดียว คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด มีเพียงแสงจากดวงดาว มองเข้าไปที่หมู่บ้านทุกบ้านก็ดับไฟจากตะเกียงกันหมดทุกหลังแล้ว ข้าพเจ้านอนไม่หลับเพราะปวดปัสสาวะ จึงตัดสินใจออกจากเต็นท์ และเดินลงบันไดท่าน้ำของศาลาลงไปในทะเลอันมืดมิด พร้อมไฟฉายดวงน้อย เพื่อลงไปปัสสาวะซึ่งระดับน้ำจะอยู่ต่ำกว่าสะพานประมาณ 2-3 เมตร เมื่อไต่บันไดลงไปถึงน้ำทะเลที่มีคลื่นเล็กน้อย ไฟฉายเจ้ากรรมดันดับ ทั้งขยับทั้งเขย่าอย่างไรก็ไม่ติด ทำให้ข้าพเจ้าขนหัวลุก เพราะในใจเริ่มคิดฟุ้งซ่านว่า ถ้ามีผีน้ำมาดึงขาข้าพเจ้าลงทะเลไป ก็คงไม่มีใครมาช่วยเพราะสองคนนั้นนอนหลับในศาลา ส่วนชาวบ้านก็นอนกันหมดแล้ว ข้าพเจ้ายืนแช่อยู่ในน้ำ แล้วปล่อยปัสสาวะด้วยจิตใจที่ตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤตินั้นไปได้ข้าพเจ้ารีบไต่บันไดขึ้นไปบนสะพานอย่างรวดเร็ว แล้วรีบมุดเข้าไปนอนในเต็นท์อย่างปลอดภัย ข้าพเจ้าหลับไปได้สักพักก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อรู้สึกตัวว่ามีใครกำลังเขย่าเต็นท์ของข้าพเจ้า ความรู้สึกขณะนั้นก็คือ ถ้าข้าพเจ้าลืมตาจะต้องพบกับผีแน่เลย และแล้วข้าพเจ้าก็คิดว่าเป็นอย่างไรก็เป็นกันจึงตัดสินใจลืมตาดู เห็นแต่ท้องฟ้าที่มืดมิด และได้ยินเสียงแมวกำลังใช้อุ้งเล็บของมันกำลังตะกุยข่วนเต็นท์ ตรงปลายเท้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผงกหัวขึ้นมาดู เมื่อรู้ว่าเป็นแมวก็โล่งอก จึงได้นอนหลับต่อ จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้ไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านอธิบายให้ฟังว่าแมวในหมู่บ้านไม่มีตัวไหนกล้าเดินไปบนสะพานหรอก เพราะการสร้างสะพานได้วางไม้พาดตามขวางเหมือนกับหมอนรองรางรถไฟ จะมีช่องว่างห่างเป็นระยะๆ แมวมันเดินไม่ถนัดเหมือนเดินตามยาวของไม้ และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อมันเดินบนสะพานจะเห็นน้ำทะเลที่อยู่ด้านล่าง จึงไม่กล้าเดิน ชาวบ้านเคยจับแมวไปปล่อยบนสะพานมันจะรีบวิ่งกลับบ้านกันทุกตัวข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นก็ได้แต่อึ้ง และคิดในใจว่า แล้วแมวตัวที่เดินไปตะกุยเต็นท์ของข้าพเจ้าเมื่อคืนนี้ เป็น แมวผีหรือ ?

เรื่องที่ 18.ผีพรายน้ำ

ต่อมาในเดือนเมษายน .. 2547 ข้าพเจ้าและญาติๆ ก็กลับมาที่หมู่บ้านแหลมนาวนี้อีก ในคืนนั้นข้าพเจ้าได้นั่งคุยกับผู้อาวุโสที่สุดในหมู่บ้าน อายุประมาณ 80 กว่าปี ท่านเล่าว่าท่านเป็นหลานของโต๊ะกีเสม มาบุกเบิกถางป่าตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ตอนที่เข้ามาอยู่ใหม่ๆยังพบเสือลายพาดกอน ท่านแต่งงานและมีลูกสาวและลูกชายหลายคน และเกือบทั้งหมดในหมู่บ้านนี้ก็คือลูกหลานของท่าน มีอยู่วันหนึ่งตอนกลางคืน ท่านพาลูกสาวออกไปหาปลาริมชายหาด ปลาที่ไปหาเป็นปลากระบอก ขณะที่เดินลุยน้ำหาปลาอยู่ชายหาดนั้น ลูกสาวท่านที่เดินตามหลังก็ถูกผีน้ำดึงขาไว้ ท่านก็กลับไปช่วย และมีอยู่ครั้งหนึ่งในเวลากลางคืนขณะที่ท่านแจวเรือออกไปหาปลา (ในสมัยนั้นไม่มีเรือที่ใช้เครื่องยนต์) ก็มีผีน้ำว่ายน้ำตามเรือท่านมา ท่านก็เอาไม้พายตีหัวมัน มันจึงไม่กล้าว่ายตามเรือมา ท่านบอกว่าที่นี่ผีชุกชุมมาก

เรื่องที่ 17.ผีทะเล

ข้าพเจ้าจะขอเล่าเหตุการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่เคยโดนผีหลอกตอนกลางวัน เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อประมาณปี พ.. 2546 ข้าพเจ้าและญาติพี่น้องประมาณ 20 คนได้ไปเที่ยวที่หมู่บ้านแหลมนาว จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง ห่างไกลความเจริญไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ ลักษณะพื้นที่ของหมู่บ้านจะอาศัยปลูกบ้านกันอยู่ริมน้ำ มองไปคล้ายกับหมู่บ้านที่เกาะปันหยี ของจังหวัดพังงา โดยบนฝั่งไม่มีพื้นราบ จะมีภูเขาสูงเป็นกำแพงกันคลื่นกันลมที่จะพัดมาจากทะเลอันดามัน การเดินทางไปได้ทางเดียวคือเช่าเรือนั่งไปประมาณ 45 นาที เมื่อไปถึงเราก็นอนพักค้างคืนที่นั่น ชาวบ้านเล่าว่า คนในหมู่บ้านแหลมนาวและหมู่บ้านใกล้เคียงในจังหวัดระนอง ทั้งที่นับถือศาสนาอิสลามและศาสานาพุทธให้ความเคารพกับบุคคลหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อประมาณ เกือบ 100 ปีก่อน บุคคลนั้นก็คือ โต๊ะกีเสม ศพของท่านได้ถูกฝังไว้ที่เกาะ ร้างกลางทะเล ชาวบ้านเรียกว่า เกาะโต๊ะกีเสม ที่เกาะนั้นชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างมัสยิดไว้หนึ่งหลังข้างสุสานของท่านนั่นเอง ที่เกาะแห่งนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ชาวบ้านมักจะไปเยี่ยมเยือนหลุมศพของท่าน และไปละหมาดที่มัสยิดบนเกาะนี้ ข้าพเจ้าและคณะจึงตกลงกันว่าในวันรุ่งขึ้นจะไปเยี่ยมเยือนสุสานของท่าน พอรุ่งเช้าเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ชาวบ้านก็พาพวกเราลงเรือหางยาวสองลำไม่มีหลังคา มุ่งตรงไปยังเกาะโต๊ะกีเสม ข้าพเจ้าและญาติๆที่ไป มีวัยอ่อนกว่าก็รีบกระโดดลงเรือลำใหญ่ จุคนได้10 กว่าคน ใช้เครื่องยนต์ที่แรงกว่าและเร็วกว่าออกเรือล่วงหน้าไปก่อนทิ้งให้ญาติที่มีอายุมากกว่าไปเรือลำเล็กเครื่องยนต์ก็ไม่ดีวิ่งไม่เร็ว คนภายในเรือของข้าพเจ้าก็พูดดูถูกเรือลำเล็กว่า สงสารคนแก่ที่อยู่เรือลำเล็ก กว่าจะไปถึงก็คงจะตากแดดหัวแดงกันหมด และพวกเราก็หัวเราะกันสนุกสนาน เรือของข้าพเจ้าได้วิ่งไปตามเส้นทางในป่าโกงกาง วิ่งไปประมาณ 40 นาที พวกเราก็เริ่มเห็นภูเขาลูกใหญ่ยืน ตระหง่าน บนเกาะโต๊ะกีเสน ทันใดนั้น พี่สาวของข้าพเจ้าก็ตะโกนบอกข้าพเจ้าที่นั่งอยู่ท้ายเรือว่าเมื่อข้าพเจ้าไปถึง ให้ลองถ่ายรูปเกาะโต๊ะกีเสน เห็นชาวบ้านคุยว่าที่เกาะนี้ถ่ายรูปไม่ติดถ้าไม่ขออนุญาตจากโต๊ะกีเสน ความรู้สึกในเวลานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพี่สาวข้าพเจ้าได้พูดท้าทาย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พูดว่าอะไร ทันใดนั้นเองภูเขาที่เราเห็นอยู่ข้างหน้าก็หายไป และเรือที่พาเราไปนั้นก็หลงหาทางออกจากป่าโกงกางไม่ได้ชาวบ้านที่ขับเรือพาไปก็งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเขาเป็นคนพื้นที่ขับเรือมาตั้งแต่เด็กๆจนกระทั้งเติบโตเป็นผู้ใหญ่รู้เส้นทางนี้เป็นอย่างดี แรกๆพวกเราก็หัวเราะสนุกสนานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1- 2 ชั่วโมง ก็ยังหาทางออกไม่ได้ ขับเรือวนตากแดดจนทุกคนเริ่มวิตกกังวลเพราะมองไปรอบตัวไม่เห็นเกาะมีแต่ป่าโกงกางไม่เห็นภูเขาเลย มองไปเหนือยอดไม้ก็มีแต่ท้องฟ้าและแสงแดด ต้นไม้ก็เป็นต้นโกงกางซึ่งเป็นต้นไม้เตี้ยๆไม่สามารถให้ร่มเงาได้เลย จนในที่สุดชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอายุมากแล้ว ที่มากับเรือของข้าพเจ้าก็กล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่พี่สาวข้าพเจ้าได้ลบหลู่ดูหมิ่น ทันใดนั้นเองเรือของเราก็สามารถหาทางออกไปจนถึงเกาะโต๊ะกีเสมได้และพบว่า เรื่อลำเล็กไปถึงก่อน ประมาณ 2 ชั่วโมง ทุกคนได้แต่สมน้ำหน้าตัวเอง และได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของยิน(ผี)ที่อาศัยอยู่ที่เกาะโต๊ะกีเสมนี้ ถึงแม้ว่าเป็นกลางวันแสกๆก็ยังทำให้พวกเรากลัวได้

เมื่อพวกเราไปถึงก็รีบตรงไปที่บ่อน้ำ ซึ่งชาวบ้านได้ต่อท่อน้ำมาจากตาน้ำตกบนภูเขา น้ำจะไหลตลอดทั้งปี ทั้งกินทั้งอาบจนหายคลายร้อนจากนั้นก็ไปเยี่ยมเยือนหลุมศพของโต๊ะกีเสม และร่วมทำละหมาดกันที่มัสยิดบนเกาะ ในหลักการของศาสนาอิสลามนั้นมีอยู่ว่า การขอพรนั้น จะต้องขอต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่มีสิ่งอื่นหรือผู้ใดจะให้พรที่ขอได้ การขอพรจะขอที่ไหนก็ได้ แต่ก็มีสถานที่ที่พระเจ้าจะรับพรได้ง่ายไม่กี่ที่ เช่นที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ กะห์บะห์ในเมืองมักกะ ของประเทศซาอุดีอาราเบียเป็นต้น และที่อื่นๆอีกตามที่คัมภีร์อัลกุรอ่านได้บอกไว้ ข้าพเจ้าคิดว่าที่เกาะโต๊ะกีเสมนี้ก็คงเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ที่พระเจ้าคงจะประทานพรให้กับผู้ที่ดั่งด้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาวิงวอนขอเพราะในอดีตนั้นโต๊ะกีเสมเป็นคนดีที่เคร่งคัดในการปฏิบัติธรรมในศาสนาอิสลาม และได้รับทราบจากชาวบ้านว่าได้มีผู้นำแพะมาปล่อยแก้บนไว้บนเกาะเป็นจำนวนมาก และข้าพเจ้าก็คิดต่อไปว่า ยิน(ผี)ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ก็คงจะเป็นยิน(ผี)ที่มีพลังอำนาจมาก คอยดูแลทรัพย์สินของมัสยิด เช่นถ้วยชามลายครามอายุเป็นร้อยปี ของโต๊ะกีเสม เพราะบนเกาะไม่มีคนอาศัยอยู่เลย แต่ก็ไม่มีผู้ใดนำทรัพย์สินเหล่านี้ไปได้ เมื่อได้เวลาเดินทางกลับใครที่มาเรือลำไหนก็กลับลำนั้น เรือทั้งสองลำออกเดินทางพร้อมกัน แต่ครั้งนี้เราเปลี่ยนเส้นทางโดยวิ่งออกไปทางทะเล เมื่อออกจากเกาะได้สักพักหนึ่งเรือลำที่ข้าพเจ้านั่งมาก็ผจญกับคลื่นลูกใหญ่จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เรือลำเล็กที่วิ่งตามมากลับไม่ผจญกับคลื่นลูกใหญ่เลย และเห็นเรือของข้าพเจ้าเหมือนกับถูกคลื่นกลืนลงทะเลไปแล้ว ข้าพเจ้าก็งงกับเหตุการณ์นี้เหมือนกัน

เรื่องที่ 16.ผีเข้าสิง

ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ประมาณ 5 – 6 เดือนก่อน ก็เคยมีเหตุการณ์ระทึกมาก่อนแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า หลานชายของข้าพเจ้ากับเพื่อนได้ชวนกันไปนอนพักค้างคืนที่บ้านน้าหลังนี้ และในคืนนั้นลูกของน้าก็เล่าว่าหมอไสยศาสตร์ได้นั่งทางในแล้วบอกว่าที่บ้านหลังนี้มี ยิน(ผี)อาศัยอยู่ในรูที่ฝาบ้าน เพื่อนของหลานที่ไปด้วยกันไม่เชื่อ จึงเอาไม้แยงลงไปในรูไม้ที่ฝานั้น ทันใดนั้นเอง เพื่อนของหลานก็เกิดอาการของผีเข้าสิง คือทำตาขวาง กระโดดจากหน้าต่างบนบ้านทรงไทย ลงไปในบ่อน้ำ ข้างบ้านหายไปเลย ลูกของน้าและหลานชายข้าพเจ้าจึงช่วยกันติดตามค้นหาจนไปพบเขากำลังนั่งขัดสามธิในมุมมืด อยู่อีกฝั่งหนึ่งของบ่อน้ำ และมีอาการเหมือนคนถูกผีเข้า นั่งหลับตาอยู่ในมุมมืดริมบ่อนั่นเอง หลานชายของข้าพเจ้าได้โทรศัพท์มาบอกให้พ่อเขาไปช่วย ซึ่งก็คือพี่ชายคนโตของข้าพเจ้านั่นเอง(หมอผี) เมื่อพี่ชายของเข้าเจ้าไปถึงอาการของผีเข้าสิงก็หายพอดี สอบถามเพื่อนของเขาที่ถูกผีเข้าสิง ก็ไม่สามารถจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาบอกว่าไม่เชื่ออย่าไปลบหลู่

เรื่องที่ 15.ผีในรูบ้าน

ข้าพเจ้าแต่งงานและมีลูกชายคนแรก อายุประมาณ 2 ขวบ เมื่อประมาณปี .. 2537 ข้าพเจ้าได้พาลูกชายของข้าพเจ้าไปงานแต่งงานบ้านน้าสาวที่อยู่ในสวนบางมด เขตทุ่งครุ การเดินทางไปได้ทางเดียวคือต้องเหมาเรือเข้าไป และต้องค้างคืน ข้าพเจ้าจำได้ดีว่า วันนั้นเป็นวันเสาร์ ลูกของน้าบอกว่าก่อนหน้านี้ ได้ไปหาหมอไสยศาสตร์ และหมอก็นั่งทางใน บอกว่า ที่รูฝาบ้านที่ติดกับครัว มีผีอาศัยอยู่ ลักษณะของบ้านของน้าเป็นบ้านทรงไทยใต้ถุนบ้านสูง วันนั้นมีญาติพี่น้องและชาวบ้านมาช่วยกันตกแต่งบ้านและเตรียมประกอบอาหารที่จะใช้ในการจัดเลี้ยงงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ พอตะวันตกดิน ก็เริ่มมีฝนตกหนัก มีลมพายุพัดกะโชก ฝนฟ้าคะนอง ไฟฟ้าก็ดับ ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนนั่งล้อมวงคุยกันอยู่บนบ้าน โดยตัวข้าพเจ้านั่งพิงฝาที่เพื่อนเล่าว่ามีผีอาศัยอยู่ข้าพเจ้านึกสนุกจึงแกล้งทำเป็นเสียงสุนัขหอน และรู้สึกสนุกมากยิ่งขึ้นเมื่อสาวสาวที่นั่งคุยกันอยู่ทำท่าตื่นกลัวผี จนกระทั่งไฟฟ้ามาจึงหมดสนุก หลังจากนั้นทุกคนก็ไปช่วยกันตกแต่งห้องเจ้าสาวจนกระทั่งเสร็จประมาณ 3 ทุ่ม จึงออกมายืนชื่นชมผลงานกันอยู่ที่หน้าห้องเจ้าสาว ทันใดนั้นเองทุกคนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องเจ้าสาวก็ต้องกระโดดหนีเอาตัวรอดเพราะมีความรู้สึกว่าคานบริเวณที่พวกเรายืนอยู่รับน้ำหนักไม่ไหวหักเสียงดังสนั่น ตัวข้าพเจ้าซึ่งยืนอยู่กับลูกชายที่หน้าห้องก็กระโดนหนีเอาตัวรอดโดยทิ้งให้ลูกชายวัย 2 ขวบยืนอยู่คนเดียว หลังเหตุการณ์สงบทุกคนเป็นห่วงสภาพบ้านที่พัง จึงลงไปดูคานที่อยู่ใต้บ้าน พบว่าที่ด้านล่างมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก กำลังจัดเตรียมอาหาร และทำขนม ไม่มีใครได้ยินเสียงคานหัก ที่พวกเราบนบ้านได้ยินเลยและสภาพบ้านก็ปกติดี ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ลงไปตรวจสอบก็ไม่พบความเสียหายใดๆ ในขณะเกิดเหตุการณ์นั้น น้าสาวและน้าชาย เจ้าของบ้าน ยืนอยู่บนบ้านตรงปากประตู เขาเห็นว่าพื้นบ้านบริเวณที่พวกเรายืนอยู่หน้าห้องเจ้าสาวยุบตัวลงไปเป็นแอ่งคล้ายท้องกะทะ เขาเล่าว่า ขณะนั้นเขาคิดกันว่าจะทำอย่างไรดี กับบ้านที่พังอย่างนี้ จะจัดงานแต่งงานในวันรุ่งขึ้นได้อย่างไร และในที่สุดทุกคนก็โล่งอก เมื่อความจริงได้ปรากฏว่าไม่มีความเสียหายใดๆเลย จึงลงความเห็นว่าน่าจะเกิดจากผีที่อาศัยอยู่ในรูข้างฝาบ้านเป็นแน่แท้

เรื่องที่ 14.ผีเตียง

ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปเป็นทหารเกณฑ์ ห้องนอนของข้าพเจ้าก็ร้าง เตียงที่ข้าพเจ้าเคยนอนพี่ชายคนโตก็เอาไปให้หลานชายนอนที่บ้านของเขา และทราบจากพี่ชายที่เอาเตียงไปให้หลานชายนอนว่าได้เจอกับเหตุการณ์แปลกๆมากมายในบ้าน เช่นขโมยที่งัดเข้าบ้านถูกทำร้ายจนตกหน้าต่างบ้าน หลานชายถูกผีหลอกบนเตียง พี่ชายข้าพเจ้าเข้าห้องน้ำกลางดึกแล้วถูกผีใส่สลักขังพี่ไว้ในห้องน้ำ จนในที่สุดก็ต้องรื้อเตียงนั้นทิ้งไป หลังจากข้าพเจ้าปลดประจำการณ์พ้นจากการเป็นทหารก็กลับมาอยู่บ้านก็ไม่พบกับเหตุาการณ์แปลกๆที่บ้านอีกเลย

เรื่องที่ 13.เลี้ยงผี

หลังจากคืนนั้นข้าพเจ้าได้หาถ่านใส่จานมาวางไว้ในห้องนอนของข้าพเจ้าเพื่อให้เขากินเป็นอาหาร เพราะข้าพเจ้าได้ไปสอบถามผู้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องภูตผี ซึ่งทางศาสนาอิสลาม เรียกมันว่า ยินมันเป็นเผ่าพันธ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกับเราในโลกนี้ มีลักษณะคล้ายคน มีลูกมีหลาน สามารถแปลงร่างไปเป็นอะไรก็ได้ แม้กระทั่งแปลงร่างเป็นคนที่ตายแล้ว สามารถล่องหนหายตัวได้ ชอบกินกระดูก และถ่าน อาศัยอยู่ทั่วไป แม้แต่ในรู ในน้ำ ยินแต่ละตนจะมีพลังอำนาจที่แตกต่างกันมีอุปนิสัยใจคอก็แตกต่างกันด้วย ยินบางตนนิสัยดี บางตนนิสัยไม่ดี ก็คงเหมือนกับคน คือมีทั้งคนดีและคนร้าย

เรื่องที่ 12.ประจัญหน้ากับผี

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสภายในห้องนอนของข้าพเจ้านี้มันคล้ายกับลางบอกเหตุ จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าเข้านอนและตื่นขึ้นมากลางดึก ก็พบกับเงาดำทะมึนมายืนอยู่ข้างเตียงนอนนอกมุ้ง ข้าพเจ้าไม่กล้าขยับเขยื้อนได้แต่ลืมตาโพงดูเงามืดนั้น และสักพักเงามืดนั้นก็เดินหายไปตรงตู้กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ตรงหัวนอนของข้าพเจ้า

เรื่องที่ 11.ผีบอกเหตุ

มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านอนอยู่ในห้องเพียงคนเดียวบนเตียงไม้สักโบราณนั้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วมองไปที่พื้นห้องที่มืดมิดแต่ก็เห็นถ่านไฟกระจายอยู่เต็มพื้นห้อง ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นนั่งดูแล้วมันก็จางหายไป ข้าพเจ้าคิดว่าตาคงฝาดจึงนอนต่อ สักพักก็มีคนมาตะโกนบอกว่าไฟไหม้ที่ชุมชนแออัดข้างบ้านของข้าพเจ้า

เรื่องที่ 10.ผีบอก

เมื่อข้าพเจ้าเข้าสู่วัยรุ่นอายุประมาณ 15 – 16 ปี ขณะที่ข้าพเจ้านอนหลับอยู่บนเตียงไม้สักโบราณ(เป็นเตียงเก่าสมัยพ่อ แม่แต่งงานกัน)ข้าพเจ้านอนอยู่คนเดียว ได้ยินเสียงน้องชายมาเรียกให้เปิดประตู ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู บ้าน แต่ก็ไม่พบน้องชาย จึงกลับเข้าห้องแล้วนอนต่อ แต่ในเวลาไม่นานนักน้องชายของข้าพเจ้าก็เข้ามาในห้อง บนศรีษะมีเลือดไหล น้องชายข้าพเจ้าเล่าว่า หลังจากไปเที่ยวมา ได้เดินกลับบ้าน แล้วถูกอันธพาลรุมทำร้าย

เรื่องที่ 9.ผีอำ

ที่บ้านของข้าพเจ้าเป็นบ้านไม้หลังใหญ่มีใต้ถุนบ้านสูง สามารถวิ่งเล่นใต้ถุนบ้านได้สบาย บนบ้านมีเรือนสองหลังและมีนอกชานอยู่กลางบ้านเชื่อมเรือนทั้งสองเข้าด้วยกัน ภายในบ้านมีห้องโถงใหญ่และมีห้องนอนอยู่ 5 ห้อง มีอยู่ห้องหนึ่งที่แขกไปใครมาไปนอนแล้วจะโดน ผีอำตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับ ก็รู้สึกตัวว่ามีใครมานั่งค่อมอยู่บนตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยายามต่อสู้ดิ้นรนแต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ไม่สามารถที่จะลืมตาดูได้ ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดหายใจไม่ค่อยออก ในที่สุดข้าพเจ้าจึงอ่านบทสวดจากคำภีร์อัลกุรอ่านข้าพเจ้า จึงสามารถรอดพ้นจากเหตุการณ์ที่ถูกผีอำนั้นได้

เรื่องที่ 8.พบผีกระสือดวงไฟ

ข้าพเจ้าก็เคยมีประสบการณ์ในการพบกับกระสือดวงไฟเหมือนกัน เรื่องมีอยู่ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าอายุได้ประมาณ 7-8 ขวบ เวลาประมาณ โพล้เพล้ (ใกล้ค่ำ) ข้าพเจ้าปวดปัสสาวะ จึงได้ลงจากบ้านไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ในสวน เมื่อข้าพเจ้าออกจากห้องน้ำก็ได้เห็นดวงไฟสีเขียวขนาดโตเท่าลูกมะพร้าวได้ ลอยอยู่ในสวน มันลอยลักษณะคล้ายหิ่งห้อยแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นข้าพเจ้าก็ได้วิ่งไล่ตามดวงไฟดวงนั้นเข้าไปในสวนที่มืดมิด มันได้ลอยตรงไปที่กอไผ่ของสวนน้าสาวที่อยู่ติดกับสวนของข้าพเจ้า แล้วดวงไฟดวงนั้นก็หายลับไป บริเวณกอไผ่ท้ายสวนนั่นเอง ในสมัยนั้นในหมู่บ้านของข้าพเจ้ายังไม่มีไฟฟ้าใช้ ดวงไฟที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นมันสวยงามมาก ข้าพเจ้ายังจำติดตามาจนถึงเท่าทุกวันนี้

เรื่องที่ 7.ผีกระสือลากไส้

ท่านบอกว่ากระสือมันมีอยู่สองชนิด คือกระสือดวงไฟและกระสือลากไส้ ท่านเล่าว่า ตาของท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ในเช้ามืดวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาได้ยินเสียง ชิ่ว - ชิ่วท่านจึงเดินไปดู ก็พบผู้หญิงในหมู่บ้านของท่านนั่นเอง ที่เป็นกระสือมีแต่หัวและไส้ มันไม่สามารถไปไหนได้เนื่องจากไส้ของมันถูกหนามกอไผ่เกี่ยวไว้ มันกำลังส่งเสียงไล่ไก่ที่จะเข้าไปจิกไส้ และด้วยความสงสารท่านก็เลยช่วยไปปลดหนามไผ่ที่เกียวไส้มัน ให้สามารถลอยกลับไปบ้านของมันได้
กระสือลากไส้นี้จะถ่ายทอดไปยังลูกหลาน แม่เล่าว่าตอนสมัยที่แม่ยังสาวสาวนั้น เคยทดลองแกล้งกระสือในหมู่บ้านของท่าน คือในเวลากลางวันนั้น มันจะเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ดีว่าเขาเป็นลูกหลานของกระสือ มีอยู่วันหนึ่ง กระสือตนนั้นได้มาพบกับพ่อแม่ของท่านซึ่งอยู่บนบ้าน แม่ของข้าพเจ้าและเพื่อนสนิทของท่านได้ไปหาหนามไผ่มาสะไว้ใต้บันได เมื่อได้เวลากลับ กระสือที่เป็นคนนั้น ไม่สามารถลงจากบ้าน ได้แต่บอกว่า ฉันลากลับก่อนนะ แม่บอกว่าเธอลาแล้วลาอีกอยู่อย่างนั้นแต่ไม่กล้าลงจากบันได ในที่สุดด้วยความสงสารแม่และเพื่อนสนิทของท่านจึงช่วยกัน เอาหนามไผ่ที่สะไว้ออกจากใต้บันได เธอจึงกล้าลงจากบ้านไปได้

เรื่องที่ 6.ผีกระสือดวงไฟ

เมื่อแม่ของข้าพเจ้าอายุได้ 17 – 18 ปี ท่านก็ได้แต่งงาน และได้แยกครอบครัวไปปลูกบ้านทรงไทยอีกหลังหนึ่ง ห่างจากบ้านพ่อ-แม่ของท่าน ซึ่งไม่ไกลกันนัก ท่านได้ผ่านการคลอดลูกหลายครั้ง และทุกครั้ง ก็ให้คุณพ่อของท่านเป็นหมอตำแย (หมอทำคลอด) มีอยู่ครั้งหนึ่งในคืนที่ท่านได้คลอดลูกนั้น เวลาประมาณเที่ยงคืน ท่านได้เห็นดวงไฟสีเขียวขนาดเท่าลูกมะพร้าว ลอยมาไต่หูมุ้ง ที่ท่านนอนอยู่ มันลอยวนอยู่รอบๆมุ้ง คล้ายกับว่ามันกำลังจะหาทางเข้ามาในมุ้ง ลักษณะมันเป็นดวงไฟสีเขียว จะสว่างและดับสลับกันไปคล้ายกับหิ่งห้อย ท่านได้นอนดูมันอยู่พักหนึ่งแล้วมันก็ลอยจากไป ท่านเรียกมันว่า ผีกระสือดวงไฟ

เรื่องที่ 5.ผีไอ้บองคอแดง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีศพของชายคนหนึ่งถูกฆ่าแขวนคอจนศพบองขึ้นอืดอยู่ที่ต้นก้ามปู ที่สถานีรถไฟคลองตัน สงสัยว่าศพน่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามเพราะดูที่อวัยวะเพศมีรอยขริบ และเป็นศพไม่มีญาติ ชาวบ้านจึงได้นำมาทำพิธีศพและฝังไว้ที่สุสานของมัสยิดบ้านดอน จากนั้นผีไอ้บองก็ออกอาราวาท หลอกหลอนชาวบ้านที่อยู่ใกล้สุสาน และผู้คนที่สัญจรผ่านสุสานในเวลาค่ำคืน มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อตอเล็บ เดินกลับบ้านหลังจากมาทำละหมาดที่มัสยิด คืนนั้นเขาต้องเดินทางผ่านสุสานเพลำพังเพียงคนเดียว เมื่อเดินมาถึงหน้าสุสาน ไอ้บองคอแดงมันมานอนขวางทางเดิน แต่ด้วยนายตอเล็บเป็นนักมวยและนักเลง พอจะมีวิชาป้องกันตัวพอสมควร ก็ชักมีดออกมาจากเอวพร้อมที่จะต่อสู้กับเจ้า ไอ้บองคอแดงนี้ เมื่อแสดงให้มันเห็นว่าไม่กลัวมัน มันก็หายตัวไป เรื่องราวของไอ้บองคอแดงนี้ ได้เป็นเรื่องที่ล่ำลือกันต่อไปกับหลายหมู่บ้านหลายตำบล แต่นานวันเข้า เรื่องราวของไอ้บองคอแดงก็จางหายไปเพราะมันไม่ได้ออกมาหลอกหลอนชาวบ้านอีกเลย

เรื่องที่ 4.ผีหัวขาด

แม่เล่าว่า เคยมีนักโทษชายคนหนึ่งเป็นอิสลามถูกประหารชีวิตที่วัดภาษี ด้วยการฟันคอจนขาด และได้นำศพและศรีษะใส่เรือวิ่งมาตามคลองแสนแสบมาที่มัสยิดบ้านดอน เพื่อมาทำพิธีทางศาสนา เมื่อเรือเทียบท่า ปรากฏว่าศรีษะที่วางอยู่ทางหัวเรือเกิดลื่นไหลตกลงไปในคลอง ไม่มีใครกล้าลงไปงมศรีษะที่อยู่ก้นคลอง ในที่สุดพ่อของแม่ก็อาสาลงไปงมหาศรีษะขึ้นมาได้ เมื่อทำพิธีทางศาสนาเสร็จแล้วก็นำศพและศรีษะไปฝังที่สุสานใกล้กับมัสยิดบ้านดอนนั่งเอง

เรื่องที่ 3.ผีเรือน

แม่เล่าว่าที่บ้านทรงไทยของท่านมีผีเรือนอาศัยอยู่ บ่อยครั้งในเวลาค่ำคืน จะมีเสียงเหมือนกับคนขึ้นไปบนขื่อ (คานไม้ใต้หลังคา) แล้วกระโดดลงมากลางบ้านเสียงดัง ตึง ตึงจนคนในบ้านเคยชินกับเหตุการณ์นี้ และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมันอย่างปกติสุข

เรื่องที่ 2.ผีเปรต


ข้าพเจ้าเป็นคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 8 เดือนพฤศจิกายน พ.. 2500 . เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่ 10 ในจำนวนพี่น้อง 11 คน บิดาและมารดามีอาชีพทำนา แม่เป็นบุตรคนที่สองในจำนวนของพี่น้อง 7 คน แม่ของข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนในวัยเด็กบ้านของแม่เป็นบ้านทรงไทย ข้างบ้านจะมีโรงควาย ตอนที่แม่อายุ ประมาณ 5-6 ขวบ เวลา โพล้เพล้ (ประมาณ 1 ทุ่ม) แม่ปวดปัสสาวะ จึงเดินลงจากบ้านไปปัสสาวะใกล้กับโรงควาย ทันใดนั้นก็หันไปพบกับปีศาจตนหนึ่ง ที่มีลักษณะท่าทางที่แปลกไปจากมนุษย์ทั่วไปคือ ลำตัวดำ มีสองขา ขาข้างหนึ่งยืนอยู่ที่พื้นดิน ส่วนขาอีกข้างหนึ่งมันยกขึ้นไปพาดไว้บนหลังคาโรงควาย และแขนของมันก็ยาวมากทำท่าคล้ายกับลิง แม่ตกใจกลัวมากจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้าน แล้วเล่าให้พ่อแม่ของท่านฟัง แต่ผลที่ได้รับคือ คืนนั้นท่านถูกเฆี่ยนตีไปหลายที เพราะพ่อแม่ของท่านเคยห้ามไว้แล้วว่า ถ้ามืดค่ำห้ามลงจากบ้านสิ่งที่ท่านเห็นนั้นคงจะเรียกได้ว่า ผีเปรต